จากบทความที่แล้วเราได้พูดถึงการทำแท้งในสมัยก่อนกันไปแล้ว ในหัวข้อหนึ่งของการทำแท้งนั่นคือการทำแท้งด้วยสมุนไพรขับเลือด ในวันนี้เราจึงจะมาเพิ่มเติมในส่วนของสมุนไพรที่เป็นอันตรายต่อคนท้องกันว่ามีอะไรบ้าง
เหล่าคนท้องทั้งหลายจะได้ระมัดระวังตัวกันสักนิดกับอาหารการกินทั้งหลายที่มีผลต่อน้องๆในท้องครับ
1.ดอกคำฝอย
(safflower)
ชื่อพื้นบ้าน :
ดอกคำ (อีสาน) , คำยอง คำหยอง คำหยุม
คำยุ่ง (ลำปาง) , คำ
คำฝอย ดอกคำ (ภาคเหนือ)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
:
Carthamus tinctorius Linn.
ลักษณะทั่วไป :
เป็นพืชล้มลุก มีลักษณะเป็นพุ่ม ลำต้นเป็นสัน
สูง 40-150 ซม.
ใบเดี่ยวรูปหอกมีขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อยเรียงสลับกัน ดอกสีเหลืองและค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อแก่ มีดอกย่อยขนาดเล็กจำนวนมากรวมเป็นกระจุกออกเป็นช่อที่ปลายยอด อยู่ในตระกูลเดียวกับทานตะวัน เติบโตได้ดีในเขตภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ปลูกกันมากในภาคเหนือ
เครื่องดื่มจากดอกคำฝอยนิยมมากในหมู่สาวๆที่ต้องการรักษาสุขภาพเนื่องจากในน้ำมันดอกคำฝอยมีฤทธิ์สลายไขมัน
ลดการอุดตันในเส้นเลือดทำให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก
แต่เนื่องจากภายในน้ำมันดอกคำฝอยยังมีสรรพคุณลดการจับตัวของเกล็ดเลือดรวมทั้งเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ให้มดลูกบีบรัดตัวจึงสามารถช่วยในการขับประจำเดือน ช่วยสลายลิ่มเลือดเก่าที่คั่งค้าง เป็นผลให้ว่าที่คุณแม่อาจต้องสูญเสียน้องไปได้
2.อบเชย (Cinnamon)
ชื่อพื้นบ้าน :
กระแจะโมง กะเชียด กะทังนั้น (ยะลา) , กะพังหัน
โกเล่ เนอม้า (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , เขียด เคียด เฉียด
ชะนุต้น (ภาคใต้) , มหาปราบตัวผู้ อบเชย อบเชยต้น (ภาคกลาง)
, ดิ๊กซี่สอ (กะเหรี่ยง-เชียงใหม่) , บอกคอก
(ลำปาง) ฝักดาบ (พิษณุโลก) , พญาปราบ (นครราชสีมา) , สะวง (ปราจีนบุรี)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Cinnamomum
iners Reinw. ex Blume
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ยืนต้นตรง สูง 5-25 เมตร ใบเดียวรูปไข่หรือรูปหอก มีปลายและโคนใบแหลม ขอบใบเรียบ
มีเส้นสามเส้นขนานขอบใบไปยังปลายใบ
ออกเรียงสลับกันตามกิ่งก้าน ผิวใบเรียบเป็นมัน ใบหนา
ดอกมีสีเหลืองขนาดเล็กออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ผลรูปไข่สีดำขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย
ส่วนทำนำมาใช้เป็นเครื่องเทศคือเปลือกในของอบเชยซึ่งมีฤทธิ์ทำให้มดลูกบีบตัว
สามารถเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการแท้งของคุณแม่ได้
โดยจะยิ่งอันตรายหากเป็นอบเชยสดที่ไม่ผ่านความร้อน ดังนั้นหากเป็นเพียงผงอบเชยเล็กน้อยคุณแม่ก็ยังรับประทานได้
3.ไพล (zingiber
cassumunar)
ชื่อพื้นบ้าน :
ปูลอย ปูเลย (ภาคเหนือ) ,
มิ้นสะล่าง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน),
ว่านไฟ (ภาคกลาง)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Cinnamomum
iners Reinw. ex Blume
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก สูง 30-45
ซม. เปลือกมีสีน้ำตาลแกมเหลือง
มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในเหง้ามีสีเหลืองแกมเขียว มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบเดี่ยวยาวทรงรี ปลายแหลม
ขอบใบเรียบขึ้นเรียงสลับกัน
ในส่วนเหง้าไพลมีน้ำมันรสเผ็ดร้อน หากรับประทานจะช่วยขับลม ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และระบบย่อยอาหาร ขับระดูหรือประจำเดือน และมีฤทธิ์บีบมดลูกจึงไม่เหมาะกับคนท้องแต่คุณแม่สามารถใช้เป็นยาทาภายนอกเพื่อคลายปวดเมื่อยได้
4.ฟ้าทะลายโจร
(andrographis
paniculata)
ชื่อพื้นบ้าน :
ฟ้าทะลาย น้ำลายพังพอน (กรุงเทพฯ) , หญ้ากันงู (สงขลา)
, สามสิบดี (ร้อยเอ็ด)
, เมฆทะลาย (ยะลา)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Andrographis
paniculata (Burm.f.) Nees
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก สูง 30-60 ซม.
ลำต้นเหลี่ยมสีเขียวเข้มทั้งต้น
ใบเดี่ยวเรียวปลายและโคน
ขอบใบเรียบ ผิวใบมัน ดอกสีขาวเป็นช่อออกบริเวณปลายกิ่งและซอกใบ ผลเป็นฝักคล้ายต้อยติ่งแต่จะแบนและเล็กกว่า
ฟ้าทลายโจรมักใช้ประโยชน์จากส่วนที่อยู่เหนือดินขึ้นไป ใช้เป็นยาลดไข้แก้เจ็บคอเนื่องจากมีสารแอนโดรกราโฟไลด์
(andrographolide;
AP1), นีโอแอนโดกราโฟไลด์ (neoandrographolide;
AP4), ดีออกซีแอนโดกราโฟไลด์ (deoxyandrographolide)และอื่นๆที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นได้
แต่หากคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอยู่รับประทานเข้าไปจะก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดีโดยทางคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติได้ระบุไว้ว่า
‘ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากอาจทำให้เกดิทารกวิรูปได้’ โดยเหตุที่เกิดขึ้นได้มีผลทดลองมารับรองแล้วว่าหนูที่ได้รับฟ้าทะลายโจรเข้าไปในร่างกายจะมีผลในการคุมกำเนิดและในกระต่ายจะมีผลทำให้เกิดการแท้งได้
5.ว่านชักมดลูก
(curcuma
comosa)
ชื่อพื้นบ้าน :
ว่านหมาวัด(อุบลราชธานี) , ว่านชักมดลูก ว่านขอ
ว่านทรหด (กรุงเทพฯ) , ว่านพระยาหัวศึก ว่านการบูรเลือด
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Curcuma
xanthorrhiza Roxb.
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก สูงได้ถึง 2 เมตร ต้นลักษณะเป็นกาบใบ
ใบเดี่ยวขนาดใหญ่เรียงเป็นกระจุก
ก้านใบเป็นสีม่วงแดงแผ่ออกด้านข้าง
ใบกว้าง 15-21 ซม. ยาว 40-90 ซม. ดอกช่อเชิงลดรูปทรงกระบอก
ดอกสีขาวหรือม่วงอ่อนไล่ระดับไปจนเป็นสีขาว เหง้าใต้ดินเนื้อในเป็นสีส้มออกแดง
ว่านชักมดลูกสามารถช่วยรักษาความผิดปกติของฮอร์โมนเพศหญิงได้รวมทั้งเป็นยาบีบมดลูก ขับน้ำคาวปลา
ซึ่งสรรพคุณนี้เป็นอันตรายต่อคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องอย่างมากโดยเฉพาะคุณแม่ที่ตั้งท้องในช่วงสามเดือนแรกอาจมีผลทำให้แท้งน้องได้
แต่หากนำไปใช้หลังคลอดจะทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วจึงควรใช้ให้เหมาะสม
6.กวาวเครือ (Pueraria
mirifica)
ชื่อพื้นบ้าน :
กวาวเครือขาว (ภาคเหนือ) , ตามจองหอง (ชุมพร) ,
กวาวหัว ทองกวาว กวาวเครือ ตานเครือ โมะตะถู (กระเหรี่ยง-กาญจนบุรี)
, ทองเครือ กว๋าวเครือ จานเครือ (อีสาน)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Pueraria
candollei Graham ex Benth. var mirifica.
ลักษณะทั่วไป :
ไม้เถาเนื้อแข็งขึ้นเลื้อยพันต้นไม้ใหญ่หรือเลื้อยตามพื้นดิน ก้านใบมีใบย่อย 3 ใบ ลักษณะใบย่อยเป็นรูปไข่ กว้าง 7-13 ซม. ปลายใบเรียวแหลม หัวใต้ดินลักษณะกลม เนื้อในหัวเปราะ มีเส้นมาก
มีสีขาวคล้ายมันแกว
ส่วนใหญ่มักใช้เนื้อในหัวในการทำยา สรรพคุณบำรุงกำลัง เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงเลือด
เร่งการเจริญเติญโตของเนื้อเยื่อ
ถือเป็นยาบำรุงได้อย่างดีแต่มีฤทธิ์บีบมดลูก ขับเลือด
ซึ่งอาจทำให้คุณแม่แท้งได้
หากจะรับประทานควรทานปริมาณเพียงแค่เม็ดถั่วเพื่อให้คุณแม่มีน้ำมีนวลขึ้นเท่านั้น
7.ว่านนางคำ (Wild
Turmeric)
ชื่อพื้นบ้าน :
-
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Curcuma
aromatica Salisb.
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก ใบเดี่ยวเป็นกระจุก ใบรูปไข่
ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอกเป็นช่อแบบช่อเชิงลด ดอกสั้นกว่าริ้วประดับ ออกกลางต้น
มีสีดอกม่วงอ่อนจนถึงชมพู
หัวใต้ดินมีเนื้อสีเหลือง กลิ่นหอม
หัวสดใช้เข้ายาพอกแก้ฟกช้ำเคล็ดขัดยอก ช่วยขับลมในลำใส้และมีสรรพคุณทำให้มดลูกบีบตัวซึ่งจะสามารถหดตัวจนขับเลือดออกมาได้จึงไม่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังท้อง โดยเฝพาะคุณแม่ที่ท้องในช่วงสามเดือนแรกจะยิ่งเสี่ยงมีโอกาสแท้งสูง
8.แห้วหมู (Nut
grass)
ชื่อพื้นบ้าน :
หญ้าแห้วหมูหรือหญ้าขนหมู (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Cyperus
rotundus L.
ลักษณะทั่วไป :
ไม้ล้มลุก เป็นพืชตระกูลหญ้า ใบเรียวยาว
ต้นเป็นกาบใบหุ้มซ้อนกันเป็นชั้นๆ
มีก้านช่อดอกเป็นก้านตรงเป็นสามเหลี่ยมทรงกระบอกยาวโดยแยกออกจากต้น มีหัวเล็กๆอยู่ใต้ดิน
ใช้ส่วนหัวในการเข้ายาโดยมีสรรพคุณพื้นฐานเรื่องการช่วยขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะขัด
แก้นิ่วในไต แก้อาการปวดท้องเพราะมากในกามกิจ ขับลมในลำไส้
ขับประจำเดือน
ซึ่งเป็นผลร้ายต่อคุณแม่ที่เพิ่งเริ่มตั้งครรภ์เป็นอย่างมาก
ทั้งนี้จากการทดลองยังมีผลข้างเคียงอยู่บ้างในบุคคลทั่วไปคืออาจทำให้มีอาการคลื่นไส้
อาเจียน เบื่ออาหารได้หากรับประทานเป็นปริมาณมากหรือรับประทานต่อเนื่อง
9.ดอกกะทกรก (Fetid
passionflower)
ชื่อพื้นบ้าน :
กระโปรงทอง (ภาคใต้) , เคือขนตาช้าง
(ศรีสะเกษ) , ตำลึงฝรั่ง (ชลบุรี) , เถาสิงโต
เถาเงาะ (ชัยนาท), ผักแคบฝรั่ง (ภาคเหนือ) , หญ้ารกช้าง (พังงา) , กะทกรก (ภาคกลาง), ผักขี้หิด (เลย) , เยี่ยววัว (อุดรธานี) , ละพุบาบี (มลายู-นราธิวาส , ปัตตานี) , หญ้าถลกบาต (พิษณุโลก , อุตรดิตถ์)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Passiflora
foetida
ลักษณะทั่วไป :
ไม้เถาเนื้ออ่อน มีรยางค์เกาะ ใบเดี่ยวลักษณะของใบเป็นรูปหัว ปลายใบแหลม
โคนใบเว้า ส่วนขอบใบเว้าเป็น 3 แฉก ทั่วทั้งเถามีขนอ่อนหยาบขึ้นกระจายเต็ม ดอกสีขาวหรืออมม่วง มีก้านชูเกสรร่วม
เกสรเพศผู้ 5-8 อัน รังไข่เกลี้ยง ก้านเกสรเพศเมีย 3-4 อัน ผลขนาดเล็ก
เส้นผ่านศูนย์กลาง 2-3 ซม. ลักษณะคล้ายฟักทอง ผลอ่อนมีสีเขียวเมื่อสุกสีส้ม
มีประโยชน์มากมายหลายอย่างทั้งขับพยาธิ์ บำรุงปอด
แก้ปวด แก้ไอ แต่จะมีผลต่อคุณแม่เนื่องจากสรรพคุณในการขับพยาธิจะทำให้คุณแม่ปวดท้องหนักซึ่งอาจเป็นผลให้แท้งหรือคลอดก่อนกำหนดได้
11.ตะไคร้ (Lemongrass)
ชื่อพื้นบ้าน :
ไคร (ภาคใต้) , คาหอม ห่อวอตะโป๋ (แม่ฮ่องสอน) , จะไคร (ภาคเหนือ) , เชิดเกรบ เหลอะเกรย (สุรินทร์) ,
หัวสิงไค (เปราจีนบุรี)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์
: Cymbopogon
citratus, Stapf
ลักษณะทั่วไป :
พืชตระกูลหญ้า ขึ้นเป็นกอ ต้นเป็นกาบใบห่อซ้อนกันหลายชั้นจนถึงภายใน ใบรูปหอกยาวคม
มีขนขึ้นตามใบทั่ว มีเหง้าใต้ดิน
สถาบัน Memorial
Sloan Kettering Cancer Center นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยและให้ข้อมูลว่า
สาร citral และ myrcene จากตะไคร้อาจทำให้เด็กพิการตั้งแต่กำเนิดได้เนื่องจากสารตัวนี้สามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์เกิดใหม่และหากดื่มปริมาณมากยังกระตุ้นให้มีประจำเดือนอีกด้วยจึงไม่ควรจะดื่มน้ำตะไคร้ในปริมาณมาก แต่อย่าเพิ่งกังวลไปเพราะหากไม่ได้รับประทานในปริมาณมากหรือต่อเนื่องก็ยังไม่น่าเป็นห่วง
ดังนั้นคุณแม่ที่บังเอิญทานอาหารที่มีส่วนผสมของตะไคร้สบายใจได้ว่าลูกยังปลอดภัย แต่แนะนำให้หลีกเลี่ยงการรับประทานครับ